คำถามยอดฮิตของผู้ที่จะเปิดคลินิกคือ กำไรของคลินิกทันตกรรมประมานเท่าไหร่ ?
และคำนวนยังไง ?
การคำนวน “กำไร” ผมจะขอเสนอหลักการง่ายๆ 3 แบบ มีตั้งแต่แบบบ้านๆ แบบ SME หรือรูปแบบบัญชีเต็มรูปแบบ
1.คำนวนกำไร แนว SME
สมการที่ต้องระลึกไว้คือ กำไร = รายรับ-รายจ่าย
การคำนวนแบบนี้ ให้คิดรายรับทุกอย่าง อันได้แก่
ค่าทำฟัน
ค่าบริการ เช่น เอ๊กเรย์
ค่าสินค้า เช่น แปรงสีฟัน
รวมก้อนนี้เป็น “รายรับ” โดยกำหนดวันสิ้นเดือนเป็นวันรวมยอด
อีกส่วนคือ รวบรวมร่ายจ่าย เช่น
ค่า dental fee ( df ) ของหมอมือปืน
และถ้าท่านทำฟันในคลินิกตัวเอง ต้องหักส่วนนี้ด้วย เช่น ถ้าท่านทำยอดเข้าคลินิก 1 แสน แปลว่าต้องหักรายจ่าย (df) ออกไป
ถ้าคลินิกมีการคิดแบบ 50-50 แปลว่า คลินิกมีค่าใช้จ่าย 5 หมื่น เป็นค่าแรงเรา
ส่วนนี้จะเป็นค่าใช้จ่ายหลักของทุกคลินิก จะคิด df เป็น fix rate หรือ percent rate ก็แล้วแต่ท่านจะกำหนด
เพราะฉะนั้น เจ้าของกิจการเวลาทำฟันคุณคือมือปืนนะครับ ต้องคิดเสมอว่าเราคือลูกจ้างหรือพนักงานในกิจการคนหนึ่งเหมือนกัน
ค่าใช้จ่ายอื่นๆได้แก่
เงินเดือนพนักงาน ทั้ง OT โบนัสและเบี้ยต่างๆ
ค่าวัสดุสิ้นเปลือง อาจจะคำนวนยาก ถ้าเอาง่ายก็ตีเป็น % ของรายรับ เช่น 5%
ค่าเช่าที่
ค่าน้ำไฟ
กำจัดขยะ
ค่าพนักงาน part time
ค่าโทรฯ
มีค่าอะไรอีก ท่านต้องใส่ไปให้หมด ยิ่งละเอียดยิ่งดี เพราะมันจะสะท้อนกำไรได้แม่นยำ
การคำนวนวิธีนี้ ท่านต้องมีบัญชี คือต้องรวบรวมบิลไว้
ถ้าไม่ขยันคอยเก็บข้อมูลค่าใช้จ่าย จะไม่มีทางคำนวนได้เลยนะ
2.คำนวนกำไร แนว investor
การคำนวนแบบนี้ เหมือนกันกับข้อ 1 ที่เป็น SME
แต่จะมีค่าใช้จ่ายอีกสองอย่างที่นำมาคำนวนเพิ่ม
คือ “ค่าเสื่อม” และ vat
ค่าเสื่อม คืออะไร ?
มันคือต้นทุนของสิ่งของ ที่ใช้ในธุรกิจ ที่มีอายุการใช้งานนานกว่า 1 ปี เช่น
ยูนิตทำฟัน
เครื่องเอ๊กเรย์
สิ่งก่อสร้างและตกแต่ง
สมมุติ ยูนิตตัวหนึ่ง มีราคา 5 แสนบาท อายุการใช้งาน (ใช้งานจนกว่าจะเจ๊ง ตามบัญชี) 10 ปี
แปลว่า เรามีค่าใช้จ่ายเป็น fix ปีละ 5 หมื่นบาท
เดือนละ 4166 บาท
การคำนวนแนว investor ในบัญชีรายจ่ายทุกเดือน จะมีค่าเสื่อมร่วมด้วย
รวมถึง vat ด้วย
ทำไมต้องคิดต้นทุนค่าเสื่อม ?
ถ้าเป็นนักลงทุน เขาจะมองส่วนนี้ด้วย กำไรจะต้อง cover ค่าใช้จ่ายต้นทุนและเงินลงทุนในระยะยาว จะไม่ได้เน้นพิจารณาแต่ cash flow หรือสภาพคล่องเหมือนข้อ 1
3.ไม่คำนวนกำไร คิดแต่รายได้
วิธีนี้เป็นการคิดแบบหยาบที่สุด
โดยมองว่าเงินจะอยู่ในตระกร้า ถ้ามีรายรับก็ใส่ไว้ในตระกร้า ถ้ามีรายจ่ายก็หยิบออกไป
สิ้นเดือนมา ส่วนที่เหลือก้นตระกร้า คือ รายได้
เช่น รายรับ 4 แสน
ค่าใช้จ่ายสิ้นเดือนที่ต้องจ่ายออกไป คือ น้ำไฟ พนักงาน มือปืน ค่าเช่า จ่ายทีหยิบออกไปที
เหลือเท่าไหร่ก็เป็นรายรับสิ้นเดือน
การคำนวนแบบนี้ จะไม่ทราบว่ามีกำไรเท่าไหร่ เพราะ DF เราไปปนในนั้น และที่สำคัญไม่รู้ด้วยว่ากำไรหรือเปล่า
ทั้งสามวิธีนี้ ไม่มีผิดไม่มีถูก ท่านจะเลือกคิดแบบไหนก็ได้ แล้วแต่สไตล์ท่าน ทั้งนี้ ใน 3 วิธีนี้ ผมไม่แนะนำให้ใช้แบบที่ 3 เพราะการที่เราไม่เห็นกำไร บางทีเราอาจจะขาดทุน และขาดทุนไม่รู้ตัว เพราะ DF เราอาจจะกลบอยู่
ถ้าคิดจะมีคลินิกแล้ว ต้องฝึกบริหารให้เกิดกำไรนะคับ แหม…อุตส่าห์เหนื่อยลงทุน ไหนจะปวดหัวมานั่งบริหารอีก ถ้าขาดทุนอาจจะต้องคิดดีๆ ว่าคุ้มไหมที่เหนื่อยมาตั้งขนาดนี้
ควรจะสู้ต่อให้มีกำไร ให้สมกับการลงทุน
หรือควรถอย กลับไปเป็นมือปืน ที่ไม่มีความเสี่ยงและไม่มีวันขาดทุน
อ่านถึงตรงนี้แล้ว ผมอยากจะแนะนำท่านที่ยังไม่เคยทำบัญชีแบบจริงจัง อยากให้ฝึกทำนะครับ เอาจริงๆผมเชื่อว่าทุกท่านก็คงทำอยู่แล้ว แต่ในแง่มุมของการดำเนินกิจการมันมีความสำคัญมากๆในการวางแผนรายรับรายจ่ายมันมีประโยชน์มหาศาลและสามารถนำสิ่งนี้มาคิดเวิเคราะห์อะไรๆต่อยอดได้มากมาย
ผมมีสูตร Excel ทำบัญชีเบื้องต้นง่ายๆให้คลินิกท่านที่ยังไม่มีได้ฝึกลองทำดูนะครับ ตาม link —> สูตรบัญชีเบื้องต้นสำหรับคลินิกทันตกรรม
เผยแพร่ครั้งแรก 6 มิถุนายน 2016
ปรับปรุงใหม่ 27 สิงหาคม 2016
0 Comments