คลินิกทันตกรรมทุกแห่งล้วนได้รับผลกระทบจากโรคระบาด ณ เวลานี้ โดยเฉพาะเจ้าของคลินิกที่มีค่าใช้จ่ายทั้งเรื่องสถานที่และเงินเดือนพนักงาน เดือนละหลักหลายหมื่นถึงแสน และล้านในบางราย
เพราะสถานการณ์โรคระบาดนี้คือเหตุการณ์ใหม่สำหรับทุกคน ตั้งแต่มีการระบาดอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ผมรับสายโทรศัพท์รวมถึงตอบข้อความของแฟนเพจทุกวันเพื่อช่วยให้คำปรึกษาในประเด็นเครียดๆต่างๆ เช่น
- จะปิด หรือ เปิดคลินิกดี ?
- ถ้าเปิดคลินิกแล้ว จะต้องเตรียมตัวยังไง ?
- เราจะคาดเดาสถานการณ์โรคระบาดนี้ยังไง ? แล้วมันจะไปในทิศทางใด ?
- เราจะวางแผนยังไงดี เพื่อให้สามารถกลับมาทำฟันได้เหมือนเดิม ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ?
บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้อ่าน ไม่ว่าจะเป็นมือปืน หรือ เจ้าของคลินิก ได้เห็นภาพกว้าง และสามารถวางแผนชีวิต และธุรกิจทันตกรรมของตนได้อย่างรู้ทัน โดยเฉพาะเจ้าของคลินิกที่จะต้องสามารถกลับมาเริ่มทำฟันอีกครั้ง (Re-opening) จนไปถึงการฟื้นคืนคลินิกให้กลับมาสู่สภาพเดิม (Recover)
การระบาดของ COVID-19 ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงไปทั่วโลก และสร้างผลกระทบไปทุกธุรกิจทุกแขนง ไม่เว้นแม้แต่ทันตกรรม
หน้าที่สำคัญของเราคือ
- เรียนรู้จากมันให้เร็วที่สุด
- คิดวางแผนเพื่ออนาคต
- รีบลงมือทำ
อย่าลืมนะครับ ว่าคนไข้ทุกคน ยังไงก็ต้องพึ่งพาหมอฟัน คุณต้องถามตัวคุณเองว่า คลินิกของคุณเป็นที่พร้อมที่จะให้บริการคนไข้ได้อย่างดีเยี่ยมในอนาคตอันใกล้นี้หรือเปล่า ?
ถ้าคุณสามารถทำได้ และทำได้ก่อนใคร คุณจะฟื้นคืนได้อย่างรวดเร็วกว่าคลินิกอื่นที่ยังครึ่งๆกลางๆในการวางแผนและตีโจทย์ต่างๆ
บทความนี้ จะยาวหน่อยนะครับ แต่ทุกหัวข้อสำคัญ เพราะจะทำให้เราเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี
ผมจะเล่าในสองประเด็น คือ
- อธิบายลักษณะการระบาดของ COVID-19 ทั้ง 4 phase
- ในเชิงธุรกิจนั้น ใน 4 Phase เรา (หมอฟัน โดยเฉพาะคลินิกทันตกรรม) ต้องทำอะไรบ้าง ?
ในเชิงระบาดวิทยา เราสามารถแบ่ง Phase ของการระบาดของโรค COVID-19 ได้ทั้งหมด 4 Phase
**4 Phase มีอะไรบ้าง ผมอ้างอิงข้อมูลจาก National coronavirus response: A road map to reopening
Phase ที่ 1 การหยุดยั้งการแพร่กระจาย
ระยะนี้จะพบมีการระบาดของเชื้อเป็นวงกว้าง ตัวเลขของผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นทุกวัน และพบในหลายที่หลายจังหวัด
ถ้าหน่วยงานรัฐไม่หยุดยั้งการระบาดของโรค สุดท้ายโรคนี้จะแพร่ขยายไปสู่ทุกคนอย่างรวดเร็ว และจะทำให้เกิดคนป่วยพร้อมกันมหาศาลจนยากที่จะรักษาได้ทันท่วงที และจะทำให้มีคนเสียชีวิตเยอะมากๆเพราะไม่สามารถรักษาได้อย่างทั่วถึง
สิ่งที่จะต้องรีบลงมือเพื่อหยุดยั้งการระบาด คือ การใช้มาตรการที่เข้มงวด และใช้กฎหมายพิเศษเพื่อมาควบคุมโรค ซึ่งการจะควบคุมโรคติดต่อได้นั้น จะต้องควบคุมคนให้ได้
เดือนเมษายน พศ.2563 นี้ เราจึงพบว่ามีการสั่งการให้ยกเลิกประเพณีสงกรานต์ หลายจังหวัดประกาศปิดการเข้าออกของประชาชน มีการปิดสถานที่ที่มีความเสี่ยงในการติดโรค เช่น ห้าง โรงเรียน ที่ทำงาน ร้านอาหาร สถานบันเทิง สนามกีฬา ยกเลิกกิจกรรมต่างๆ เช่น คอนเสริ์ต งานอีเว้น งานประชุมอบรม
ส่วนการรณรงค์เรื่องอนามัย ก็มีการเผยแพร่การส่งเสริมป้องกันผ่านสื่อต่างๆ เช่น ข่าวโทรทัศน์ ป้ายไวนิล เพื่อให้ประชาชนตระหนักในการป้องกันตนเอง เช่น การใส่หน้ากากอนามัน การล้างมือ การทานอาหารที่ปลอดภัย เป็นต้น รวมไปถึงการบังคับให้ Work from Home , Study at Home และทำ Social distance และใครตัดสินใจกลับบ้านที่ต่างจังหวัดก็จะต้องโดนกักตัว 14 วันเพื่อเฝ้าดูอาการซึ่งแน่อนว่าจะทำให้เกิดความยุ่งยากในการทำงานกับที่ทำงาน เกือบทุกคนจึงตัดสินใจอยู่กับที่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ระยะนี้กล่าวโดยสรุป คือ เป็นการพยายามขอความร่วมมือ และถ้าความร่วมมือไม่เกิดขึ้นเพียงพอก็ใช้มาตรการหลายๆอย่าง “บังคับ” เพื่อหวังผลให้สามารถควบคุมการแพร่กระจายของเชื้ออย่างหวังผลที่สุด
ซึ่งแน่นอนว่ากระทบทุกธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คลินิกทันตกรรมด้วยเช่นกัน
แล้ว Phase 2 มันเป็นยังไง ?
แล้วเมื่อไหร่เราจึงจะไปสู่ Phase 2 ได้ละ ?
Phase 2 ผมเล่าคร่าวๆนิดนึง คือ เป็นระยะที่เราจะเริ่มกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม แต่บนเงื่อนไขใหม่ เช่น ยังต้องทำ Social distance และใส่ mask กันต่อ แต่กิจการห้างร้านจะกลับมาเปิดปกติแต่คงอยู่บนการควบคุมที่เข้มงวด (บทความ : Germany set to consider relaxing coronavirus restrictions)
รายละเอียดเกี่ยวกับ Phase 2 ผมจะมาเล่าละเอียดๆในตอนที่ 2 นะครับ
แต่ทั้งนี้ จาก Phase 1 เราจะไปสู่ระยะที่สอง หรือ Phase 2 ได้นี่ ก็ต่อเมื่อมีองค์ประกอบ 4 อย่างนี้เป็นอย่างน้อย
- สามารถควบคุมตัวเลขของผู้ติดเชื้อได้เป็นตัวเลขที่ลดต่อลงเรื่อยๆ และมีตัวเลขที่ใกล้เคียง 0 มากที่สุดอย่างน้อย 14 วันติดต่อกัน (เช็คข้อมูลล่าสุดได้ในเวปไซด์ WorldOmeter)
- โรงพยาบาลมีทรัพยากรด้านบุคลากรและอุปกรณ์มากพอที่จะดูแลคนไข้ใน Phase 1 ได้เต็มที่โดยไม่ปล่อยใครให้ตายเพราะเข้าไม่ถึงการแพทย์
- มีการใช้ชุดตรวจเพื่อตรวจให้กับประชากรทั้งประเทศ
- มีการติดตามผู้ที่ป่วยอย่างใกล้ชิด (ซึ่งอาจจะอยู่โรงพยาบาล หรือ กักตัวเองในสถานที่ๆเหมาะสม)
*** ประเทศไทยยังปัญหาติดข้อ 3 อยู่ ที่ไม่สามารถหาชุดตรวจเพื่อตรวจประชากรให้เยอะที่สุด อย่าลืมว่าการเน้นตรวจน้อยๆ ตามระบบ PUI ของไทยเราจะทำให้ตัวเลขคนป่วยใหม่น้อยกว่าความเป็นจริงได้ เพราะเกณฑ์ผู้ป่วย PUI มีความไวน้อย (บทความ : ทำไมประเทศไทยถึงมีผู้ป่วยโควิด-19 น้อย? ในมุมมองของ ‘นักสอบสวนโรค’ : The Momentum )
***ตัวเลขผู้ติดเชื้อของไทยที่น้อยมีหลายเหตุผลของ นายแพทย์. William L. Aldis อดีตตัวแทน WHO ประเทศไทย ตั้งข้อสังเกตไว้หลายข้อ เช่น เชื้อได้แพร่ไปทุกจังหวัดและลงไปในระดับชุมชนแล้ว และเคสใหม่ๆไม่ได้ลิ้งกับการป่วยของเคสที่เป็น Cluster จากผับทองหล่อ หรือ สนามมวย ฯลฯ(บทความ : Covid-19 in Thailand: Are we missing something?)
ตอนนี้เราอยู่ไหนตรงไหนของ Phase 1 ?
ย้อนกลับไป วันที่ 13 เมษายน 2563 เรามาดูกราฟผู้ป่วยใหม่กันนะครับ
ในตารางนี้เราจะพบว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ในประเทศไทยเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 9 เมษายนเป็นต้นมา จาก 58 คน เหลือเพียงวันละ 28 คน ในช่วง 5 วัน
เพราะฉะนั้น ถ้าสามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อให้ลดลงเรื่อยๆได้ติดต่อกัน 14 วัน โดยที่ตัวเลขอยู่แค่ที่สิบต้นๆ หรือ เลขหลักเดียว (ถ้าดีสุด คือ ตัวเลขเป็นศูนย์) ก็เป็นสัญญาณที่ดีที่เราควบคุมโรคระบาดได้
*** แต่ความน่ากังวลในอนาคต คือการระบาดจะเกิดขึ้นซ้ำได้ง่ายในเคสที่ติดโรคแต่ไม่ได้รับการตรวจ หรือ หลุดลอดไป
ส่วนตัวผมคิดว่า COVID-19 จะคล้าย HIV คือ ถ้าไม่ตรวจเราจะไม่รู้ว่าเราติดเชื้อหรือเปล่า ? เพราะบางคนอาจจะไม่มีอาการเลย ยังไม่มีอาการ หรือ มีอาการน้อยมากๆ (บทความ What We Know About The Silent Spreaders Of COVID-19)
เพราะถ้าเราเทียบกับหลายๆประเทศเช่น เยอรมัน และเกาหลีใต้ เรายังถือว่ามีการตรวจที่น้อยมากๆ และระบบ PUI ที่ความไวต่ำ
เพราะฉะนั้นตอนนี้ทุกท่านย่อมได้คำตอบแล้วว่า “เราถึงไหนแล้วในการสู้กับ COVID-19”
คำตอบคือ **เราเพิ่งจะอยุ่ใน Phase 1** และกำลังใช้มาตรการในการควบคุมคนให้อยู่กับที่มากที่สุด แนวโน้มในการควบคุมโรคก็ดูพอใช้ได้ และสมมุตเราขึ้น Phase 2 ได้ก็ไม่ควรชิวหรือคิดว่าทุกอย่างมันจบแล้ว เพราะยังมี Phase 2 , 3 และ 4 ที่เราต้องเตรียมกันต่อครับ
และที่สำคัญ ถ้าการควบคุมคนยังทำได้ไม่ดี หรือ ประชาชนไม่เข้มงวดกับการดูแลตัวเอง ความเสี่ยงทุกวันที่จะวนกลับมา Phase 1 เพราะเป็นไปได้สูงมาก
แล้วประเทศอื่นๆ ละ ??
ยกตัวอย่างประเทศที่เริ่มคุมได้เป็นเรื่องเป็นราวนะครับ เช่น เกาหลีใต้
จากที่เคย Peak ถึงระกับพบผู้ป่วยใหม่วันละ 800 คน ตอนนี้เหลือแค่ 20 คนเท่านั้น อย่างงี้ถึงว่าควบคุมได้ดีเยี่ยมและเตรียมตัวเข้า Phase 2 ได้สบายๆ
ส่วนพวกประเทศฝั่งยุโรปยังน่าเป็นห่วงทุกประเทศ ลองมาดูอิตาลี กัน
อิตาลีป่วยเพิ่มขึ้นต่อวันราว 3-4000 คน กราฟยังไม่ลงสามล้อดูก็รู้วว่ายังไม่สามารถควบคุมโรคได้ แถมค่อนข้างวิกฤติในส่วนของโรงพยาบาล เพราะไม่สามารถรองรับผู้ป่วยใหม่เกิดใหม่ที่มีเฉลี่ยวันละหลายพันคน ทำให้อัตราการตายสูงถึง 10%
สรุป คือ อิตาลี ยังคุมโรคไม่ได้ และยังคงต้องอยู่ใน Phase 1 อีกยาวอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ถึงตัวเลขผู้ป่วยใหม่จะลดลงเหลือหลักร้อย เช่นเดียวกับ สเปน และอังกฤษ และล่าสุดฝรั่งเศสก็ประกาศเพิ่มการ lockdown อีก 1 เดือน : ข่าว France to remain in strict lockdown for another month
จะเห็นได้ว่าการจะขยับจาก Phase 1ไปสู่ Phase 2 ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
และเจ้า Phase 1 นี่แหละ ที่ทำให้เศรษฐกิจชะงัก
ยิ่งนานเท่าไหร่ คนจะจนลงเรื่อยๆ และธุรกิจจะค่อยๆตายไปเพราะขาดสภาพคล่อง (เงินไม่หมุน)
*** พูดถึงคนจนลงเรื่อยๆ อยากจะแชร์ว่าประชาชนที่หาเช้ากินค่ำ เช่นกลุ่มพี่ๆกรรมกรและผู้ใช้แรงงานที่ได้ค่าแรงขั้นต่ำรายวัน กลุ่มนี้ตกงานมาตั้งแต่ต้นเมษายนแล้ว และหลายคนเข้าไม่ถึงเงิน 5,000 บาทที่รัฐบาลแจก ผมจึงมีแผนจะทำบุญโดยปรึกษาร่วมกับผู้ใหญ่ที่ทำงานด้าน NGO มาเขาแนะนำว่าควรมอบเงินให้กับคนที่ลำบากไปเลย เช่น มอบเลยคนละ 1,000 บาท ผมกับภรรยาก็เลยอยากจะไปมอบแก่ผู้ใช้แรงงานกลุ่มนี้ที่ตกงานอยู่ เงิน 1,000 บาทนี้สำคัญมากเพราะพวกเขาจะต้องส่งเสียหนี้สิน ส่งให้คนที่บ้านต่างจังหวัด หลายคนมาลูกเล็กต้องการนม เงินสดจึงสำคัญและช่วยพวกเขาได้มากๆ
*** ผมไม่ได้เน้นแจกทุกคนแต่จะโฟกัสเฉพาะคนที่ลำบากจริงๆ ซึ่งจะรู้ได้จากการเดินลงชุมชน ซึ่งผมก็จะเดินแล้วชวนคุยคนแถวนั้นไปเรื่อย ถ้าพบคนที่ลำบากแน่ๆ(ซึ่งจะรู้ได้จากการชวนคุยก่อน) ผมจะมอบเงินให้ ผมจำเป็นต้องทำเนียนๆเงียบๆ เพราะถ้าเดินแจกเลยผมว่าจะโกลาหนน่าดู แผนผมคือมอบเงินคนละ 1,000 บาท โดยผมกะว่าจะบริจาคด้วยเงินส่วนตัว 5,000 บาทต่อสัปดาห์
***ฝั่งโรงพยาบาลและอุปกรณ์แพทย์ตอนนี้มีคนบริจาคเยอะแล้ว แต่คนระดับล่างที่ยากไร้กำลังจะตายด้วยความยากจน 1,000 ช่วยเขา ครอบครัวเขา และลูกเล็กของได้มหาศาลในเวลานี้
*** ถ้าคุณอยากทำบุญช่วยเหลือประชาชนที่กำลังอดตายด้วยวิธีที่ผมกำลังจะทำ คุณจะฝากผมไปช่วยทำบุญได้นะครับ ผมกะจะไปแถวกีบหมู ซอย สุเหร่าคลองหนึ่ง ตรงนั้นเป็นแหล่งชุมชนใหญ่ของคนต่างจังหวัดมาเช่าที่พักเพื่อทำงานรับจ้าง ติดต่อ Line ส่วนตัวผมได้เลยนะครับ ID : modzzz072 ผมจะส่งหลักฐานให้ว่ามอบแก่ใครคนไหนและเงินนี้จะตกถึงมือผู้ยากไร้แน่นอน
กลับมาบทความของเรานะครับ ๕๕๕
ใน Phase 1 คลินิกทันตกรรม ต้องทำอะไรบ้าง ?
แล้วจะทำยังไงให้สามารถประคองตัวให้ผ่านพ้นระยะนี้ไปได้ ?
ใน Phase 1 คลินิกทันตกรรมทำอะไรมากไม่ได้
เพราะโจทย์หลักของประเทศคือการควบคุมโรคระบาดให้ได้ ซึ่งเป็นประเด็นที่เร่งด่วนและสำคัญมากกว่า ณ เวลานี้ คุณจึงทำได้แต่เพียงทำตามกฎหมาย หรือ ข้อบังคับที่สั่งการลงมา
คลินิกทันตกรรมจะทำอะไรได้บ้าง ? โดยหลักจะมีผู้มีอำนาจเหนือคลินิกอยู่ 3 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่
1.สาธารณสุขจังหวัด
2.ผู้ว่าราชการจังหวัด
3.คำสั่ง ตามพรก.ฉุกเฉิน
ทั้งสามส่วนนี้ มีอำนาจที่จะสั่งให้คลินิกเปิด หรือ ปิดได้ตามกฎหมาย รวมถึงข้อปฎิบัติต่างๆ
ในระดับของจังหวัดนั้น (ส่วนที่ 1 และ 2 ) เราจะพบว่ามีความแตกต่างกันไปในแต่ละจังหวัด เช่น บางจังหวัดถึงขั้นสั่งให้คลินิกปิดเลย เช่น ภูเก็ต เป็นต้น (ภูเก็ตปิดสถานที่เสี่ยงแพร่โควิด-19 เพิ่มเติม สวนสาธารณะ-คลินิกทันตกรรม)
ที่เชียงใหม่ประกาศห้ามทำฟันที่ไม่เร่งด่วน คลินิกใดฝ่าฝืนมีโทษอาญาจำคุกและปรับเลยทีเดียว ตามเอกสารข้างบน
บางอย่างก็ไม่ได้เป็นข้อบังคับ แต่ก็เป็นคำแนะนำที่จริงจัง เช่น หลีกเลี่ยงการทำหัตถการที่ฟุ้งกระจายและให้เหลือการรักษาแต่ Emergency Treatment เท่านั้น (วอนทันตแพทย์เลื่อนกรณีทำฟันไม่เร่งด่วน ลดการแพร่ระบาดเชื้อ ‘โควิด-19’ : Hfocus)
แล้วเราควรปิดคลินิกหรือไม่ ?
เราในฐานะเจ้าของคลินิกจะต้องโฟกัสอะไรบ้าง ?
แยกเป็นสองกรณี คือ
1.กรณีการระบาดของโรคยังสูงและยังควบคุมไม่ค่อยได้
ตามทฤษฐีใน Phase 1 ถ้าการแพร่ของ COVID-19 ยังสูงและเพิ่มต่อเนื่อง เช่น พบผู้ป่วยใหม่วันละ 2-300 ราย ธุรกิจบริการเกือบทุกแห่งไม่เว้นแม้แต่คลินิกทันตกรรมจะต้องหยุดให้บริการเพื่อเป็นการสนุนให้ประชาชนอยู่เฉยๆที่บ้านให้มากที่สุด โดยหวังผลว่าจะลดจำนวนผู้ติดเชื้อจนเข้าใกล้ศูนย์มากที่สุด และแม้แต่เคอร์ฟิว 24 ชั่วโมงที่ท่านายกพูดทีจริงทีเล่นก็อาจจะได้ใช้ถ้าสถานการณ์มันแย่ลง
ในสถานการณ์นี้จะน่ากังวลมากถ้า Phase 1 ลากยาวหลายเดือน
คลินิกควรจะทำอะไรบ้าง ?
- คุณต้องตั้งสติ และอย่า Panic อย่าลืมว่าถ้าคุณคิดจะเป็นผู้บริหาร คุณจะต้องมีความเป็นผู้นำ (Leadership) คุณจะมาตีโพยตีพายหรือโพสบ่นด่าทอโชคชะตาในโลกโซเชี่ยวไม่ได้ ตรงกันข้ามคุณต้องนิ่งและคิดวางแผนเพื่อเอาคลินิกให้รอดใน Phase 1 ให้ได้
- เนื่องจากคลินิกคุณรายรับน้อยลงมากและอาจไม่มีรายรับเลยถ้าคุณปิดคลินิก คุณจะต้องวางแผนเพื่อลดรายจ่าย โดยอย่ารีบลดเงินเดือนพนักงาน เพราะจะเป็นการทำลายขวัญและกำลังใจอย่างมาก ตรงกันข้ามถ้าคุณสามารถสร้างขวัญและกำลังใจพร้อมสัญญาว่าจะไม่จ้างออก หรือ เลิกจ้างได้ คุณจะสร้างศรัธทากับพนักงานอย่างสูง
- อย่าคิดฝ่าฝืนกฎหมาย ถ้า สสจ.สั่งห้ามอะไรคุณต้องปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด
- เก็บทรัพยากรที่สำคัญของคลินิกไว้ เช่น ฐานคนไข้ พนักงานและทีมทันตแพทย์ แม้ ณ เวลานี้จะยังไม่สามารถดำเนินคลินิกได้ในสภาวะปกติ แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมเพื่อรอวันที่สามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติ
- กรณีที่เป็นคลินิก Chain มีหลายสาขาและมีค่าใช้จ่ายจ้างพนักงานสูงหลายๆแสนถึงล้าน จะต้องวางแผนการเงินดีๆเพราะถ้า Phase 1 ลากยาวเกิน 2 เดือนจะเสี่ยงมากที่จะขาดสภาพคล่องถ้าเงินสดคุณไม่มากพอ
- ถ้าเดิมทีคุณมีค่าใช้จ่ายสูงมากๆ เช่น ผ่อนตึกไว้ 20-30 ล้าน หรือมีภาระหนี้สินพะรุงพะรัง คุณจะต้องวางแผนให้ดีว่าควรจะ cut lost หรือไม่ เมื่อไหร่ ยังไง หรือควรจะมีแผนสองที่ทำไปเลยคือ Diversification (คิดหาทำธุรกิจใหม่)
2.กรณีเริ่มควบคุมได้ (เริ่มเข้าสู่ Phase 2)
ถ้าสามารถคุมจำนวนผู้ติดเชื้อได้สำเร็จ ทางหน่วยงานควบคุมโรค ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องกักประชาชนให้อยู่แต่ในบ้าน และอาจจะไม่จำกัดการบริการของคลินิกทันตกรรม คลินิกก็จะสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ
ทั้งนี้ สำหรับคลินิกทันตกรรม แม้จะสามารถเปิดได้อย่างปกติ แต่สำหรับโรคระบาดรอบนี้ คลินิกทันตกรรมของคุณจะต้องมี Major Change สำหรับการลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค และเริ่มคิดแผนการตลาดใหม่ๆในสังคมที่มีบริบทใหม่ๆ (เอาไว้คุยกันในตอนที่ 2 นะครับ)
สรุป
ประเทศไทยเราตอนนี้ยังอยู่ใน Phase 1 (วันที่ 16 เมษายน 2563) แต่มีแนวโน้มที่ดีว่าน่าจะเข้าใกล้ Phase 2 ในอนาคตอันใกล้ คลินิกทันตกรรมก็ทำได้เพียงรักษาเนื้อรักษาตัว ตั้งสติ ประคับประคอง ถ้าเข้าสู่ Phase 2 ทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้น
แต่ถ้าโชคร้าย Phase 1 ลากยาว คุณก็ต้องดูแลตัวเองและคลินิกให้ดี และเอาให้อยู่จนกว่าจะถึงวันฟ้าสีทองผ่องอำไพ
แล้วมาติดตามอ่านตอนต่อไปนะครับ
ปล.ใครสนใจอยากฝากเงินไปทำบุณ ติดต่อ Line ส่วนตัวผมได้เลย id: modzzz072
หมอมด
0 Comments