เทคนิคการแตกหุ้นส่วน ด้วยเทคนิค Sudden Death

ปัญหาอย่างหนึ่งของการหุ้นกันเพื่อเปิดคลินิก คือเมื่อถึงคราวจะต้องแตกหุ้น จะทำอย่างไร ?

ตอนหุ้นกันใหม่ๆ ฟังดูง่าย เอาเงินมาลงขัน แบ่งงานกันรับผิดชอบ แล้วมีกำไรเท่าไหร่ก็แบ่งกันไปตามสัดส่วนการลงทุน

แล้วถ้าถึงวันที่ต้องแตกหุ้นละ ??

สมมุติ นาย ก. กับ นาย ข. ลงทุนกันคนละ 1 ล้านบาท ( ทั้งหมดมี 2 หุ้น ราคาหุ้นละ 1 ล้านบาท) สรุปคลินิกมีมูลค่า 2 ล้าน

แล้วทั้งสองเปิดกิจการร่วมกันไปสัก 2 ปี แล้วทั้งสองมีปัญหากัน จนไม่อาจจะมองหน้าหรือเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจกันได้อีกต่อไป และตัดสินใจแยกทางกันเดิน คำถามคือ จะเอายังไงกับคลินิก ?

ถ้าจะขายต่อ หรือ ขายหุ้นกัน จะขายในราคาหุ้นละกี่บาท ?

เริ่มกิจการใหม่ๆ มันราคาหุ้นละ 1 ล้าน แล้วสองปีผ่านไป มันมากกว่า 1 ล้านไหม ? หรือ ต่ำกว่า 1 ล้าน ? ส่วนที่ต่างไปพิจารณายังไง ??

ปัญหาเหล่านี้จะเป็นประเด็นให้ปวดหัวแน่นอน (ผมจึงเป็นคนหนึ่งที่คิดมากเวลามีคนชวนหุ้น ถึงมันจะมีข้อดีหลายประการก็ตาม)

บทความขนาดสั้นนี้ จะแนะนำแนวทางเมื่อมีการแตกหุ้น มาลองพิจารณาด้วยกันนะครับ

เมื่อนาย ก. และ นาย ข. ถึงวันที่จะแตกหุ้นแล้ว จะมีความเป็นไปได้ 3 กรณี

1. Bye bye our clinic

ทั้งนาย ก. และนาย ข. ต่างไม่ต้องการเป็นเจ้าของคลินิกอีกต่อไป (ไม่เอาทั้งคู่)

2.Sell it to me

นาย ก. อยากได้คลินิกเป็นของตนเอง ส่วนนาย ข. ไม่ต้องการ หรือกลับกัน

3.Lets fight !

นาย ก. และ นาย ข. ต่างก็อยากได้คลินิกไว้ในครอบครอง

กรณี ที่ 1. Bye bye our clinic

การแตกหุ้นในกรณีง่ายที่สุด คือ ขายกิจการทิ้ง หรือ “เซ๊งกิจการ” วิธีที่นิยมมากที่สุดคือประกาศขายในเวปไซด์ เช่น www.work4dent.com ได้เงินมาเท่าไหร่ ก็แบ่งไปกันตามสัดส่วนหุ้น

ในกรณีเช่นนี้พบบ่อย

ทำไมไม่มีใครอยากจะซื้อหุ้นของอีกฝ่ายเพื่อจะได้เป็นเจ้าของคนเดียว

ในกรณีนี้ มักจะเป็นคลินิกที่ประสบภาวะขาดทุน หรือ กำไรไม่ได้เยอะเท่าที่ควร หุ้นส่วนแต่ละคนทราบดีจึงไม่อยากซื้อหุ้นอีกฝ่ายเพื่อจะถือคลินิกที่ขาดทุนไว้ในครอบครอง

2.Sell it to me

ในกรณีนี้ นาย ก. แสดงตัวอย่างชัดเจน ว่าการแตกหุ้นครั้งนี้เขาจะขอซื้อหุ้นจากนาย ข. ซึ่งนาย ข.เอง ก็อยากจะขายหุ้นให้นาย ก. พอดี  ก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหา

ใช่ครับ มันจะไม่มีปัญหา ถ้านาย ข. เสนอขายหุ้นในราคาที่ต่ำกว่า หรือ เท่ากับที่ นาย ก.คิดตัวเลขไว้

แต่จะเริ่มมีปัญหา ถ้า นาย ข. เกิดอยากขายในราคาแพงกว่าที่ นาย ก.จะรับไหว เช่นตอนหุ้นกันเปิด ราคาหุ้นอยู่ที่ 1 ล้าน แต่พอจะขายเกิดโลภ อยากได้กำไรเยอะๆ ก็เลยตั้งราคาขายไว้สูงถึง 10 ล้าน แบบนี้ นาย ก. ก็คงลำบากใจ (แต่ถ้าคลินิกบริหารจนเจริญรุ่งเรือง เติบโตหลายเท่าในเวลาสั้นๆ ราคา 10 ล้านอาจจะเป็น fair price ก็ได้นะ)

ในความเห็นของผม ถ้านาย ข. คิดจะไม่เอาคลินิกแล้วก็ควรขายในราคาที่ นาย ก.รับไหว การยึดยื้อเพื่อจะขายสูงๆแบบเวอร์ๆ ผมว่าดูไม่เหมาะสม

แต่ถ้า นาย ข. มองว่ามูลค่าหุ้นของตัวเองนั้นราคาสูงมาก สูงมากกว่าที่นาย ก. จะซื้อไหว  แบบนี้นาย ข. ก็ไม่ควรคิดจะขายหุ้น แต่ควรกลับกันเป็นฝ่ายขอซื้อหุ้นจากนาย ก. เสียเอง ซึ่งจะเป็นกรณีที่ 3

3.Lets fight !

ทั้งสองฝ่ายตกลงใจว่าจะแยกหุ้น และไม่ขอร่วมกิจการกัน

และทั้งคู่ก็ต่างอยากได้คลินิกไว้ในครอครอง !! …ซึ่ง….มันเป็นไปไม่ได้ !!

การจะแตกหุ้น ยังไงก็จะต้องมีคนหนึ่งยอมขาย ซึ่งนั่นก็เป็นปัญหา เพราะต่างคนก็ไม่อยากขายหุ้นของตัวเองให้อีกฝ่าย

แต่เมื่อมาถึงจุดนี้ เทคนิค Sudden death จะถูกนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหา

สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาของการจะขายหุ้น คือ เวลาเราจะซื้อหุ้นจากใคร เรามักจะอยากซื้อในราคาต่ำที่สุด แต่ถ้าจะขายก็อยากขายในราคาสูงที่สุด

นาย ก. และนาย ข. ต่างคนก็อยากจะซื้อหุ้นจากอีกฝ่าย โดยอยากซื้อในราคาต่ำ แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่อยากขาย

หรือ ราคาที่ขายสั้นสูงเสียจนปฎิเสธไม่ลง จนพิจารณาแล้วว่าคุ้มที่จะขาย

ปัญหาคือ ราคาขาย และราคาซื้อเป็นคนละราคา (และราคาห่างกันอีกตะหาก) วิธีการแก้ปัญหาคือ ทำให้ราคาขายและราคาซื้อเป็นราคาเดียวกัน ในเชิงวิธีการ จะใช้เทคนิคที่เรียกว่า Sudden death (เทคนิคนี้มีหลายชื่อ บางคนเรียกรัสเซียรูเลต )

Sudden death จะเป็นเทคนิคการแตกหุ้นที่ทำให้เกิดความสมดุลของทั้งสองฝ่าย คือคนขาย ขายในราคาที่ตนรับได้ และคนซื้อก็ยอทซื้อในราคาที่ตนจ่ายไหว มันเป็นยังไง ลองดูตามนี้นะครับ

เทคนิค Sudden death นี้ มีเงื่อนไขดังนี้

1. ทั้งสองฝ่าย ให้คิดตัวเลขที่ “จะซื้อหุ้น” จากฝ่ายตรงข้าม  โดยเก็บไว้ในใจ
2. จับไพ่ คนละใบ (เป่ายิงฉุบ ก็ได้)  เพื่อเสี่ยงดวงว่าใครจะเป็นคนเปิดเผยตัวเลข
3. คนที่เปิดเผยตัวเลข ให้บอกตัวเลขออกมา
4. ฝ่ายตรงข้าม เมื่อทราบตัวเลข จะต้องตัดสินใจตรงนั้น สอง แนวทาง คือ จะซื้อหุ้นจากอีกฝ่ายที่ราคานั้น หรือ จะยอมขายในราคานั้น

สรุป คือ ตัวเลขของแต่ละคน จะเป็นตัวเลขที่ตัวเองยอมซื้อและขายในเวลาเดียวกันนั่นเอง

เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ผมจะยกตุ๊กตา กรณีนาย ก. และ นาย ข. ให้เห็นเลย

ตุ๊กตา 1

นาย ก. มีตัวเลขในใจ ที่จะซื้อหุ้นจาก ข. คือ 2.5 ล้าน

ส่วนนาย ข. คิดไว้ในใจ 3 ล้าน

เปิดไพ่ ปรากฎว่า นาย ก. เป็นฝ่ายต้องบอกตัวเลข ซึ่งก็คือ ก็คือ 2.5 ล้าน

ทีนี้ จะเป็น นาย ข. จะต้องตัดสินใจ ว่าจะยอมขายหุ้นตัวเองให้นาย ก. ในราคา 2.5 ล้าน !! หรือ ซื้อจากนาย ก. ที่ราคา 2.5 ล้าน

กรณีนี้ นาย ข. ถือว่าโชคดี เพราะราคาที่ นาย ก. เสนอ ต่ำกว่าราคาที่ตัวเองคิดไว้ตั้ง 5 แสน

ตุ๊กตา 2

กลับกันกับ ตุ๊กตา 1 นั่นคือ คนที่จับไพ่ดันเป็นนาย ข.

นาย ข. บอกตัวเลขไปว่า 3 ล้าน

นาย ก. มีสิทธิ์ตัดสินใจสองกรณี ว่า จะซื้อหุ้นนาย ข. ในราคา 3 ล้าน หรือ ขายหุ้นตัวเองในราคา 3 ล้าน

นาย ก. ตั้งตัวเลขในใจไว้แค่ 2.5 ล้าน ย่อมแปลว่า เขาอาจจะเลือกขายหุ้นให้ ข. โดยได้รับเงิน 3 ล้าน (มากกว่าที่ตัวเองประเมินไว้) หรือ นาย ก. ถ้ายังอยากได้คลินิกไว้เองจริงๆ จะต้องยอมซื้อหุ้นในราคา 3 ล้าน

เทคนิค Sudden death จะเห็นได้ว่า แต่ละคนจะไม่สามารถบอกตัวเลขซี้ซั้วได้ เพราะราคาขายกับราคาซื้อเป็นราคาเดียวกัน

ถ้าเราอยากได้คลินิกไว้มากๆ ก็อาจจะวางตัวเลขไว้สูงเป็น 5 ล้าน หรือ แม้แต่ 10 ล้าน อีกฝ่าย ก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะสู้ (ซื้อ) หรือ ขาย ยิ่งตัวเลขสูงยิ่งเครียด แต่ทั้งนี้ ไม่ว่าใครจะจบด้วยการเป็นคนซื้อหรือคนขาย เทคนิค Sudden death จะช่วยทำให้ราคาสุดท้ายออกมาแฟร์ที่สุด

บทสรุป

เทคนิค Sudden Death อาจจะไม่ต้องถูกนำมาใช้ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเจรจาต่อรองกันสำเร็จหรือไม่ ถ้าไม่ลงตัว ก็นำมาใช้ย่อมจะเกิดความยุติธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย

การหุ้นกัน ต้องคิดให้ดีกว่าการหุ้นเหมาะสม หรือ ถูกจริตเราหรือไม่ ? บางคนอาจจะสำเร็จจากการอะไรๆเพียงลำพัง และทำได้ดีกว่าการไปหุ้นให้วุ่นวาย

แต่คนบางคนทำอะไรก็สำเร็จจากการหุ้นกับคนอื่น การตัดสินใจหุ้น หรือ ไม่หุ้น จึงไม่สามารถฟันธง หรือ ใช้ทฤษฐีใดๆมาจับ

ไม่ว่าผู้อ่านจะเลือกเส้นทางใด ก็ขออวยพรให้ประสบความสำเร็จในสิ่งนั้น หรือถ้าวันใดมีปัญหาจะต้องแก้ไข เช่น การแตกหุ้นส่วน ลองเอาเทคนิค Sudden Death มาใช้ก็ได้นะครับ