ช่วงนี้มีข่าวของคุณหมอกลุ่มหนึ่งซึ่งอ้างว่าตกเป็นเหยื่อของคนในวิชาชีพเดียวกัน ที่ชวนมาร่วมลงทุนเปิดคลินิกทันตกรรม ผลที่ตามมาคือสูญเงินเป็นหลักล้าน และต่างฝ่ายต่างว่าจ้างทนายมาดำเนินคดี
ตามกฎหมาย ณ ตอนนี้ยังไม่สามารถฟันธงว่าในท้ายที่สุดใครจะเป็นฝ่ายถูก หรือผิด เพราะต้องรอคำพิพากษาของศาล แต่บรรยากาศของคุณหมอหลายๆท่านในวงการต่างก็เกิดความหวาดกลัวว่าอนาคตอาจเกิดกรณีที่คล้ายคลึง คือ มิจฉาชีพ มาหลอกลวงและเกิดกับตน
1.สมมุติว่าเรา ถูกชักชวนโดย มิจฉาชีพ เราจะมีข้อสังเกตอย่างไร เพื่อจะได้รู้ทันและปฎิเสธ
2.มิจฉาชีพ เขาใช้จิตวิทยา หรือ ลูกเล่นอะไร ที่จะเล่นกลหรือร่ายมนต์ เพื่อให้เราเชื่อ
เท่าที่ผม (หมอมด) ทำงานกับคลินิกต่างๆมา ผมพบว่ามีเหตุการณ์ประเภทเดียวกันนี้เกิดขึ้นบ่อย พอผมได้ศึกษาเพิ่มเติมพบว่าเทคนิคที่กลุ่ม มิจฉาชีพ ในวงการต่างๆล้วนใช้เทคนิคที่เหมือนๆกันทั้งสิ้น
บทความนี้ผมจะมาอธิบาย ข้อคิด หรือข้อควรระวังต่างๆ เพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวนะครับ
1. มิจฉาชีพ จะเลือกเหยื่อที่ “กินง่าย”
ส่วนใหญ่คนเรามักมีความโน้มเอียงที่จะเชื่อถือคนใกล้ชิด เช่น เพื่อน หรือคนในครอบครัว ถ้าเราสังเกตุดีๆ ถ้ามีคนมายืมเงินเรา คนๆนั้นจะไม่ใช่คนแปลกหน้าที่เราไม่รู้จักมาก่อน แต่จะเป็นคนที่เราคุ้นเคย หรือ เคยรู้จักกัน เช่น เพื่อนที่ทำงาน รุ่นพี่ อาจารย์ ลูกน้องเก่า เพื่อนร่วมรุ่น เป็นต้น
ซึ่ง มิจฉาชีพ จะเลือกกลุ่มเป้าหมายพวกนี้เป็นอันดับแรกๆ
เพราะเขาสามารถใช้ความสัมพันธ์ที่มีเพื่อเข้าหาได้ง่ายกว่าไปหลอกคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกันมาก่อน
และเหยื่อมักจะเชื่อ ใจอ่อน หรือ ไว้ใจ ซึ่งทำให้ง่ายต่อการหลอก
คำถามคือ แล้วพวกมิจฉาชีพ ไม่กลัวเสียเพื่อนหรือ ?
คำตอบคือ ไม่กลัว เพราะถ้าเขาตั้งใจหากินกับการเป็น มิจฉาชีพ แปลว่าเขายอมขายวิญญาณแก่ซาตานแล้ว แม้แต่เพื่อนร่วมแก็งค์ที่จับมือกันไล่โกงชาวบ้านก็ยังหักหลังและหลอกกันเองประจำสไตล์ “ไม่มีสัจจะในหมู่โจร” และพร้อมจะทิ้งกันเอาตัวรอดถ้าจำเป็น
ผมเคยได้ยินคำเตือนของคนไทยที่ไปเป็นนักเรียนนอก ว่าเพื่อนคนไทยด้วยกันนี่แหละที่มักจะหลอก และโกงคนไทยด้วยกัน เพราะฉะนั้นให้ระวังคนชาติเดียวกันไว้ให้ดี
พ่อแม่ ก็โดนลูกโกงได้ อย่างในหนัง Catch me if you can พระเอก Frank Abagnale Junior ที่เป็นมิจฉาชีพวายร้ายที่เป็นจอมโกงและหลอกลวงที่สุดในโลกคนหนึ่ง คนแรกที่เขาหลอกตอนอายุ 15 ปี คือ พ่อบังเกิดเกล้าของเขาเอง …
สรุป : โปรดระวังโดยเฉพาะคนใกล้ตัว เพราะถ้าเขาจะร้าย เขาจะร้ายที่สุด
นอกจากนั้นบุคคลอีกกลุ่มที่มิจฉาชีพโฟกัสมากๆ คือ คนที่เชื่อคนง่าย หัวอ่อน ใจดี และยังเด็กยังอ่อนเยาว์ (เพิ่งจบไม่นาน)
เพราะถ้าเทียบกับคนที่ละเอียดรอบคอบ จุกจิก ขี้ระแวง และอายุมากหรือแก่ๆที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ กลุ่มแรกจะหลอกง่ายกว่ามาก
2.สร้างความน่าเชื่อถือ
มิจฉาชีพ จะสร้างความน่าเชื่อถือโดยการ Reference อะไรที่น่าเชื่อถือ เช่น ในทีมงานเขามีดารา และอาจารย์ดังๆอยู่ในทีม และอาจมีรูปถ่ายคู่มาอวดอ้าง ซึ่งพอเราเห็นก็หลงเชื่อง่ายยิ่งมีภาพถ่ายยิ่งดูน่าเชื่อถือ
แต่แนะนำว่าอย่าเพิ่งเชื่อ ให้ลองสืบข้อมูล หรือแม้แต่ยกหูโทรศัพท์ไปถามตัวจริงไปเลย ซึ่งถ้าเราดูมีทีท่าจะสืบสาว เขาอาจจะตัดบทและหาทางปลีกตัวเพราะกลัวความลับแตก หรือ อาจจะแสดงอาการฟึดฟัดโกรธที่ไปดูแคลนเขา ซึ่งจะตรงกันข้ามกับถ้าเป็นเรื่องจริง เพราะถ้าเป็นเรื่องจริงเขาจะท้าให้พิสูจน์ เพราะความจริงไม่มีวันตาย
อีกรูปแบบคือ การสร้าง image หรือสร้างภาพให้ตัวเองดูน่าเชื่อถือ
เช่น ซื้อรถเบนซ์ป้ายแดงมาจอดโชว์(อาจยืมเขามา หรือเช่า)
ถือ Chanel รุ่นท้อปมาอวด (อาจเป็นของก้อปปี้)
บ่นเหนื่อยเพราะเพิ่งกลับมาจากปารีสแจ้ตแลคยังไม่หาย หรือโม้ถึงรายได้หลักหลายแสนถึงล้านบาทต่อเดือน
พูดง่ายๆคือ ฉายภาพของคนสำเร็จเพื่อเอามาสร้างเครดิตตัวเอง แม้อาจจะดูน่าหมั่นใส้แต่ก็สะกิดความรู้สึกเหยื่อได้ไม่น้อยพร้อมกับเกิดข้อสงสัยลึกๆในใจว่า “เขาทำอะไรถึงได้รวย?”
และ มิจฉาชีพ บางคน มีความน่าเชื่อถือติดตัวอยู่แล้วชนิดว่าไม่ต้องสร้างภาพใดๆ เช่น อาจารย์ ครู ในมหาลัย แล้วมาหลอกลูกศิษย์ ก็มีให้เห็น ซึ่งเหยื่อมักจะพลาดได้ง่าย
3.ขายในสิ่งที่เหยื่ออยากได้
แนวทางที่มิจฉาชีพจะเข้าหาเรา เขามักมาด้วยสคริปดังนี้
โปรเจ็คของดิฉัน คุณหมอไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะเรามีระบบ และทีมงานกลางที่สร้างขึ้นมาเพื่อรันทุกอย่าง การรับสมัครคน สอนคน ควบคุม และจัดการไม่ต่างจาก 7-11
หมอจึงไม่ต้องกังวลเรื่องไม่มีคน หาคนไม่ได้ และไม่ปวดหัวกับการบริหารคน การหาหมอก็ไม่มีปัญหาดิฉันมีเส้นสายที่จะหาคนได้ไม่ยาก (เขารู้ว่าหมอไม่ชอบบริหาร และไม่อยากปวดหัวเรื่องคน)
** วัสดุอุปกรณ์ดิฉันนำเข้าเอง เราจึงได้ของดีราคาถูกกว่าที่ขายในตลาด 50% อยากได้ของอะไรสั่งปุ๊บ ได้ปั๊บ ราคาทุน แถมดิฉันมีทีมงานซ่อมบำรุง ยกหูทีเดียววิ่งมาภายใน 24 ชั่วโมง (หมอชอบของถูก และซ่อมเองไม่เป็น)
** ด้านการตลาดเรามีทีมงาน online marketing ที่จะให้มีคนไข้เยอะตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เปิดคลินิก บางสาขาที่ท้อปฟอร์มเคยทำสถิติสามเดือนคืนทุนมาแล้ว ทำเลของเราน่ากลัวจะทำลายสถิติ (หมอทุกคนกลัวเปิดคลินิกแล้วมีคนไข้น้อย และอยากคืนทุนเร็วๆ)
** เห็นไหมว่าคุณหมอแทบไม่ต้องทำอะไรเลย หลักๆคือแขวนป้าย และแค่ลงเวรนานๆครั้ง มาเช็ครายรับ มาอ่านรายงาน ส่วนกำไรเราก็มาแบ่งกัน แทบไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อยกับการทำฟันเหมือนหมอคนอื่นและตัวเราก็เป็นเจ้าของคลินิกอย่างที่ต้องการ
มีระบบบริหารครบถ้วน และลงเงินทุนไม่กี่ล้านแบบนี้คุณหมอว่าน่าสนใจไหม (หมอฟันทุกคน อยากให้มีคนทำงานแทนในคลินิกตัวเอง และกินส่วนแบ่งง่ายๆแบบที่มักเรียกกันว่า passive income)
ใช่ครับ มิจฉาชีพ เขาอ่านออกว่าเราต้องการอะไร อะไรคือที่สิ่งเราสนใจ อะไรที่เราไม่ชอบ เขารู้หมด ก็เลยเสกเรื่องราวมาเป็น story ที่เราฟังแล้วต้องตบเข่าดังฉาด โอ้นี่แหละ ใช่เลย ที่เราต้องการ !
ทั้งหมดก็เพื่อล่อให้เราวางเงินสักก้อนเท่านั้น
ยิ่งถ้า มิจฉาชีพ เป็นคนในวงการเดียวกัน เขาจะอ่าน needs & wants ของเหยื่อได้ทะลุปรุโปร่ง
เพราะฉะนั้น ใครมาเสนอโปรเจ็คที่ดูดีไปหมดชนิด 360 องศา ผมแนะนำให้อย่ารีบตื่นเต้น
ผมมีแฟนเพจ เป็นแพทย์ GP ก็มีมิจฉาชีพมาพูดจาหลอกล่อให้ร่วมทุนเปิดคลินิกสกิน ตอนคุยกันก็ใช้ script เดียวกับที่ยกตัวอย่างมา แต่ดีที่คุณหมอเขาไหวตัวทันก่อน
ปล.วงการสกินและร้านขายาก็มีเคสโดนหลอกเยอะครับ
4.พิเศษ เฉพาะเรา และมี deadline
มิจฉาชีพ มักจะบอกว่า โปรเจ็คที่เสนอนี้มอบพิเศษสำหรับเราแต่เพียงผู้เดียว เพราะรัก เคารพนับถือ และฉันอยากร่วมงานกับคุณ !
ฟังละลอยเลย
และไม่ควรจะรอช้า ! เพราะถ้าเราปฎิเสธข้อเสนอนี้ภายใน 48 ชั่วโมง เขาจะเอาไปเสนอคนอื่นที่สนใจ ซึ่งต่อคิวกันอย่างยาวเหยียด….นะจ๊ะ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่อยากพลาดโอกาสทางธุรกิจอันนี้ต้องรีบตัดสินใจ
อ่าว โอนเงินสิ รอไรอยู่……อิอิ
ใช่ครับ บางทีเราเจอจิตวิทยาการโน้มน้าว เป็นสไตล์ที่รายการทีวี ชอบใช้เพื่อขายของแม่บ้าน ที่เน้นมอบโอกาสพิเศษสุดๆ มีลด มีแถม และไม่มีอีกแล้ว พลาดแล้วจะเสียใจ
เป็นเทคนิคที่ง่ายและใช้ได้ผลอย่างยิ่งตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน
5.มิจฉาชีพจะขอร้องให้เราเชื่อใจ และมักจะไม่ทิ้งหลักฐาน
มิจฉาชีพเทพๆ จะฉลาดพอที่จะป้องกันข้อมูล และไม่เหลือหลักฐานสำคัญเอาไว้ โดยเฉพาะหลักฐานที่ใช้ในชั้นศาลได้
มีเบอร์โทรศัพท์หลายเบอร์ พร้อมทิ้งทุกวัน
มีบัญชีธนาคาร ที่ไม่ใช่ชื่อตัวเอง ไปจ้างตาสีตาสีให้เปิดให้
ใช้นอมินีในการทำสัญญา อาจถึงใช้ชื่อคนอื่นเพื่อเปิดบริษัท
และมักจะพูดว่า “ขอให้เชื่อใจ”
….
แล้ว ความเชื่อใจเป็นสิ่งที่ต้อง “ขอ” หรือ “แสดงให้เห็น” ?
ฝรั่งถึงบอก “ อย่าเชื่อ คนที่ขอให้เชื่อ” ….. ความน่าเชื่อถือเกิดจากการพิสูจน์ด้วยการแสดงออก ไม่ใช่การขอร้องให้เชื่อ
การร่วมทุน หรือ หุ้น โดยใช้ความเชื่อใจแทนการใช้พยาน สัญญา และหลักฐาน ส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาตามมาทั้งสิ้น
พวก มิจฉาชีพ มักชอบหลอกคนที่รู้ไม่ทัน เช่น ไม่รู้มาก่อนว่าการหุ้นกันควรร่างสัญญา บางท่านไม่ทราบว่าสามารถร่วมกันจดทะเบียนเพื่อบริษัทอย่างตรงไปตรงมาและตรวจสอบได้
หวังว่าจะมีประโยชน์นะครับ
0 Comments